มองมุมไหนก็เพลินตา!! “จีนส์ จิรชยา” ลูกสาว “นก-จอนนี่” ใส่ชุดว่ายน้ำโชว์เซ็กซี่เบาๆ

Author:

ไม่คิดเดินตามรอยพ่อแม่เข้าวงการ สำหรับ ‘จีน’ จิรชยา แอนโฟเน ลูกสาวคนสุดท้องของบ้าน “แอนโฟเน” แม้ความสวยสะดุดตา มีผู้จัดทาบทามให้เล่นละคร แต่ทายาทสาวของ ‘นก จริยา’ และ ‘จอนนี่ แอนโฟเน’ ก็ปฏิเสธมาตลอด

กระทั่งเรียนจบ เปิดโอกาสให้ตัวเองรับงานในวงการ ถึงแม้จะเริ่มช้า แต่เจ้าตัวมองเป็นเรื่องสนุก และเป็นการปูทางเพื่อช่วยงานคุณพ่อคุณแม่ในอนาคต

วันนี้จังหวะดีที่สาวสวยลูกไม้หล่นใต้ต้นของคู่รักคนดังมาแนะนำตัวให้รู้จัก เลยจับเข่าคุยกันยาวๆ

คุณพ่อคุณแม่เคยเป็นพระเอกนางเอกดังและอยู่ในวงการมานาน ตัวเราซึมซับอยากจะเดินตามรอยบ้างไหม?

จีน – “ไม่เคยเลยค่ะ (หัวเราะ) ตั้งแต่เด็กไม่ได้เป็นคนรักสวยรักงามเลย ไม่เคยเห็นภาพตัวเองเป็นนักแสดงเลย เพิ่งมาเริ่มดูแลตัวเองตอนเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นคนก็เริ่มทักว่าสวยขึ้น แล้วก็ชวนไปลองทำโน่นนี่ เราก็ลองดู แต่ตอนแรกไม่ชิน เขินมาก เพราะเราไม่ใช่คนที่มีจริตจะมาโพสท่าสวยๆ แต่พอได้ลองถ่ายงานก็สนุกดี เลยไม่ได้ปิดโอกาสให้ตัวเองค่ะ”

ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครจีบให้เข้าวงการเลยเหรอ?

จีน – “ตอนเรียนมหาวิทยาลัยมีค่ะ แต่ตอนนั้นยังปิดตัวเอง เพิ่งเปิดโอกาสหลังเรียนจบ ค่อนข้างช้าเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าต้องเป็นนักแสดงหรืออะไร พอไม่ได้คาดหวังแม้จะอายุ 27 ก็มองเป็นเรื่องสนุกกับงานและโอกาสที่จะเข้ามา เราก็เหมือนปูทางตัวเองว่าจะช่วยเหลืองานพ่อแม่ในอนาคต จีนเรียนภาพยนตร์มาด้วยและชอบงานเบื้องหลัง แต่ยังไม่มีโอกาสมีผลงานของตัวเองในทางเบื้องหลัง มีแต่เป็นเงาของแม่ (หัวเราะ) ส่วนทำหน้าที่อะไร บอกไม่ถูกค่ะ เพราะเวลาไปกองก็ไม่ได้ระบุว่าฉันจะทำหน้าที่นี้หน้าที่นั้น แต่แม่ให้ลองไปเรียนรู้งานเหมือนเป็นอินเทิร์น”

ช่วยคุณแม่มาระยะหนึ่งแล้ว เริ่มคิดอยากจะจริงจังกับงานผู้จัดสักเรื่องไหม?

จีน – “ยังไม่เรียกว่าเป็นผลงานของตัวเอง แต่คุณแม่เคยพูดว่าอยากขยายทีม อยากให้มีอีกคนหนึ่งมาช่วยประกบในการที่เขาจะได้ดู 2 ทีมนี้ได้อย่างคล่องตัว เรียกว่าเราก็จะเป็นเงาที่มีตัวตนขึ้นมาก ให้บทบาทจีนเป็นคนตัดสินใจมากขึ้น”

ในอนาคตจะมีโอกาสได้เห็นผู้จัดที่ชื่อ จีน จิรชยา ไหม?

จีน – “มีค่ะ อยากทำ ไม่น่าเกิน 2 ปีน่าจะได้เห็น เป็นหนึ่งในความฝัน แล้วเป็นสิ่งที่แม่ต้องการให้เราสืบสานงานต่อ เพราะแม่อยากพักแล้ว (หัวเราะ) จีนเป็นลูกคนสุดท้อง ส่วนพี่ๆ อีก 2 คนเขาทิ้งเลย (หัวเราะ) ทั้งที่พี่ทั้ง 2 คนก็เรียนภาพยนตร์เหมือนกัน”

เท่ากับตอนนี้เราเป็นความหวังเดียวของคุณแม่?

จีน – “ใช่ค่ะ เพราะแม่เขาไม่พูดเรื่องนี้กับพี่ๆ เลย (หัวเราะ) ถ้าจะอยากให้บริษัทอยู่ต่อก็มาช่วยแม่นะ ซึ่งเราก็เต็มใจ จริงๆ จีนเรียนภาพยนตร์ก็จะชอบทางภาพยนตร์นั่นแหละ แต่เราโตมากับละครเลยรู้สึกว่าเราเข้าใจในทางละครของคุณแม่มากกว่าทางภาพยนตร์ซะอีก ถ้าจะเริ่มลงไปชิมลางเบื้องหลังก็คงจะเป็นทางละครค่ะ”

งานเบื้องหน้าล่ะ?

จีน – “ถ้าบทอันไหนเข้ากับเราก็อาจจะเปิดโอกาสให้ตัวเอง แต่ตอนนี้ไม่ได้กำหนดตัวเองว่าจะต้องเป็นนักแสดง ต้องเป็นนางแบบ เอาที่รู้สึกว่ามันเข้าท่ากับเรา เพราะบางทีอาจจะมีโอกาสที่เข้ามา แต่เรารู้สึกตัวเองยังไม่พร้อม หรือนี่อาจจะไม่ใช่ตัวเรา ไม่ได้อยากเรียกว่าเลือกงานขนาดนั้น แต่รู้สึกว่าเอางานที่เราสนุกด้วยดีกว่า”

แล้วมีคนเคยชวนประกวดนางงามไหม เพราะโครงหน้าเราได้เลย?

จีน – “มีคนมาชวนว่าให้ลองไปสมัครสิ เดี๋ยวเขาช่วยดูให้ คนที่เชียร์ให้ลองดูก็เยอะ แต่รู้สึกว่าไม่ใช่จริตเราเลย (หัวเราะ) ทั้งที่ก็เคยเรียนฝึกบุคลิกมาด้วย จริตมันสร้างกันยากมากจริงๆ ค่ะ”

ความที่เห็นคุณพ่อคุณแม่อยู่ในวงการมาตั้งแต่เรายังเด็กๆ ได้รับแพสชั่นอะไรมาบ้าง?

จีน – “น่าจะเป็นชอบการเล่าเรื่อง หลังจากคุณพ่อมีช่วงพักที่ต้องไปรักษาตัว พอกลับมาเขาก็มีทำรายการ ช่วงนั้นคุณพ่อจะแบบมาดูให้เขาหน่อยว่ารายการเป็นยังไง เราอยู่กับทุกอย่างที่มันเป็นการสร้างสตอรี่ ยิ่งพอได้เรียนการแสดงยิ่งรู้สึกใช่ เราชอบการเล่าเรื่อง จริงๆ ตอนเริ่มเรียนการแสดงไม่ได้เรียนเพื่ออยากเป็นนักแสดง แต่เรียนเพื่อบำบัดความขี้อายหลายๆ อย่างของตัวเองค่ะ”

ย้อนไปตอนเด็กๆ การที่ต้องใช้ชีวิตเป็นลูกของคนดังยากไหม?

จีน – “เรียกว่าสิ่งที่ฮีลตัวเองในช่วงหลังจากที่โตขึ้นมาแล้วมันมาจากจุดนั้น จุดที่กดดันตัวเอง การที่เราไม่ได้เป็นเด็กรักสวยรักงาม แต่ขณะเดียวกันมีคำพูดคนเวลาไปไหนเขาจะแบบนั่นคุณนกคุณจอนนี่ แล้วเขาจะซุบซิบว่าลูกสาวสวยหรือเปล่าอะไรแบบนี้ เราก็จะมีความรู้สึกว่าไม่ใช่ว่าเราต้องการอยากจะสวยเพื่ออะไร แต่เราคิดว่าคนอื่นคาดหวัง แล้วถ้าสวยไม่ได้ เราก็จะรู้สึกเฟลในฐานะการเป็นลูกพ่อแม่ ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูก แล้วลูกดาราส่วนใหญ่จะเจอสถานการณ์แบบนี้ทั้งนั้น โดยเฉพาะคนที่โตมากับพ่อแม่ที่เป็นพระเอกนางเอก คนก็จะแบบลูกต้องสวยสิ ไม่สวยแล้วจะเป็นลูกดาราได้ยังไง เราเลยมีความรู้สึกตรงนั้นมันทำให้เกิดการไม่มั่นใจตอนวัยรุ่น เวลาเดินห้างกับพ่อแม่ก็อยากจะเดินห่างๆ ไปไหนก็ไม่อยากมองหน้าใคร ก้มหน้าอย่างเดียว กลายเป็นบุคลิกไม่ค่อยดี เพราะคุยกับใครก็เขินไม่มองหน้ามองตา”

ก้าวข้ามผ่านความรู้สึกแบบนั้นมาได้ยังไง?

จีน – “พอเริ่มมาดูแลตัวเองมากขึ้นค่ะ เอาจริงๆ ตอนแรกไม่ได้เกิดจากการที่รู้สึกว่าฉันจะเป็นใครก็ได้ แค่เป็นตัวของตัวเอง มันไม่ได้มีพลังขนาดนั้น เพราะเราเพิ่งมาดูแลตัวเองตอนเข้ามหาวิทยาลัย ฟีลแบบฉันอยากดูแลตัวเองเพื่อที่แค่เวลาเกิดเหตุการณ์เดิมๆ เช่นไปไหนกับพ่อแม่ ฉันแค่อยากรู้สึกว่าฉันบุคลิกดีได้นะ ไม่จำเป็นต้องหลบตาใคร พอดูแลตัวเองปุ๊บก็รู้สึกว่าเราพึงพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นถึงค่อยๆ สลัดความคิดว่าทำไมเราถึงต้องอยากดูดีเพื่อคนอื่น คนอื่นบอกว่าเราสวยแล้วยังไงต่อ ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญเลย ตอนนี้คือไม่แต่งหน้าออกจากบ้านยังได้เลย (หัวเราะ)”

คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมว่าลูกๆ เคยเผชิญความรู้สึกยากลำบากแบบนั้นมา?

จีน – “รู้ค่ะ แต่เขาอยากให้ลูกเติบโตขึ้นในเชิงที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในเมื่อเราเลือกเกิดไม่ได้ว่าจะเป็นลูกใคร เราเกิดมาเป็นลูกเขาแล้ว และมีโอกาสหลายอย่างตรงหน้า ฉะนั้นเราอย่ามองแต่สิ่งที่เป็นข้อเสียว่าคนอื่นพูดอย่างนั้นอย่างนี้ โอเครู้สึกได้ แต่ชีวิตทุกคนมีข้อดีข้อเสีย เราควรมองข้อดีด้วย ตรงไหนปรับปรุงได้ก็ทำ อันไหนแค่เปลี่ยนมายด์เซ็ตแล้วรู้สึกดีขึ้นก็เปลี่ยนซะ แค่นั้นเองค่ะ”

สวยขนาดนี้ไม่ถามเรื่องหัวใจไม่ได้?

จีน – “(ยิ้ม) มีคนคุยอยู่ค่ะ แต่ยังไม่ได้อยู่สถานะแฟน เขาเป็นคนนอกวงการ คุยมานานแล้วตั้งแต่อยู่ต่างประเทศ คุณแม่รับรู้อยู่ใกล้ๆ ส่วนคุณพ่อรับรู้อยู่ห่างๆ เขาไม่ได้หวง แต่ความที่เราโตมาในแบบที่ไม่เคยคุยกับคุณพ่อเรื่องหัวใจ เราก็เขินๆ ที่จะพูด (หัวเราะ) และเขาก็เขินๆ ที่จะฟัง เขาก็แค่รับรู้ว่าเราโอเค ปลอดภัย เขาจะปล่อยให้คุณแม่ ซึ่งคุณแม่ก็จะถามในเรื่องเบสิกว่าเป็นใคร ทำอะไร ที่เหลือให้เราตัดสินใจ เขาเหมือนจับตาดูเราอยู่ห่างๆ”

ทุกวันนี้คืออยู่คนละประเทศ?

จีน – “ใช่ค่ะ คุยแบบนี้มา 4-5 ปีแล้ว มันเลยไม่ได้เรียกว่าเป็นความสัมพันธ์จริงๆ ซะทีเดียว เพราะอยู่คนละประเทศ แต่ก็รู้กันว่าเป็นคนที่มีความหวังดีซึ่งกันและกัน แชร์โมเมนต์กัน ซึ่งโอกาสจะพัฒนาไปมากกว่านี้ก็ยากค่ะ แต่ทุกวันนี้ก็ยังคุยกันอยู่ แค่รู้สึกว่าถ้าคุยแล้วสบายใจก็คุยไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่ได้คุยเพื่อคาดหวังว่าจะต้องเป็นอะไรขึ้นมา ถ้าสมมติวันไหนที่เรารู้สึกว่าฉันอยากมีอะไรที่มั่นคงกว่านี้ ก็คงจะเป็นอีกการตัดสินใจหนึ่ง แต่ตอนนี้เราโฟกัสเรื่องงานมากๆ ค่ะ”

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *